NEA เตรียมยก CLMVT+ สานสัมพันธ์ผู้นำเอเชีย
จบงาน CLMVT Plus Executive Ptogram 2019 สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ถอดบทเรียนการฝึกอบรมลีดเดอร์อาเซียน เตรียมยกระดับขึ้นสู่เอเชีย สานสัมพันธ์ผู้นำ พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจมหาภาคขยายเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนทั่วเอเชีย
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กล่าวว่า
โครงการ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 เป็นโครงการฝึกอบรมที่จะให้ความรู้ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นระดับผู้นำที่มีบทบาทสำคัญระดับประเทศ เพื่อช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มุ่งเน้นที่การสร้างแบรนด์ดิ้งอาเซียน
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชน ได้มีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น จนนำไปสู่การต่อยอดทางด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่ร่วมกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องตลอด 5 วันเต็ม
ขณะที่การได้มาร่วมกันทำกิจกรรมในครั้งนี้ ผู้นำต่างๆ ยังมีความคาดหวังอนาคตร่วมกัน เนื่องจากประเทศไทยถูกมองว่าเป็นลีดเดอร์ในการจัดการฝึกอบรมผู้นำ และเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมอบรมให้ความรู้ร่วมกัน เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และอนาคตยังสามารถต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ในเรื่องต่างๆเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในระดับอาเซียนต่อไป
ภาพรวมของการอบรมครั้งนี้แม้ว่าเราจะเน้นที่เรื่องของการสร้างอาเซียนแบรนด์ดิ้ง แต่ก็ยังมีเกี่ยวๆเล็กเรื่องของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์ดิ้ง ซึ่งหมายถึงการทำแบรนด์ในกลุ่มสินค้าของ CLMVT plus ให้แข็งแกร่งก่อน เพื่อก้าวเข้าสู่แบรนด์ในระดับอาเซียน แล้วถึงเติบโตไปสู่ระดับโลกต่อไป
นอกจากการเรียนการสอนจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกแล้ว ยังมีการแชร์ประสบการณ์ของผู้นำที่เข้าร่วมอบรม พร้อมการเวิร์คช้อป ซึ่งการเรียนรู้ร่วมกัน 5 วัน ทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมถูกเค้นความสามารถที่แท้จริงออกมาได้ และคิดทางออกที่ช่วยตอบโจทย์การพัฒนาได้อย่างตรงจุด เริ่มตั้งแต่การรู้จักแบรนดิ้งคืออะไร และต่อยอดไปสู่วิธีการที่ถูกต้องในการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ
ซึ่งจริงๆแล้ว แบรนดดิ้งอาเซียนจะต้องเกิดจากมุมมองของผู้บริโภคทั้งอาเซียน แต่การจะทำให้อย่างไรให้เรารู้ว่าอาเซียนแบรนดดิ้งของเราต้องเริ่มทำอะไรบ้าง และทำอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ
จุดนี้เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยในการสร้างแบรนด์ แต่กระนั้นเทคโนโลยีในการสร้างแบรนด์ก็ยังมีอยู่เยอะมาก ทำให้เราต้องมาเรียนรู้ว่าเทคโนโลยีไหนที่เหมาะสมกับแบรนด์ของเรามากที่สุด ซึ่งเราจะต้องรับฟังทุกเทคโนโลยีอย่างตั้งใจ และออกไปค้นหาเทคโนโลยีที่ใช่ แล้วกลับมาคุยกับองค์กร เพื่อตรวจสอบว่าท้ายที่สุดองค์กรจะต้องปรับตัวกับเทคโนโลยีที่ใช่นั้นอย่างไร
อีกหนึ่งประเด็นที่ได้จากการฝึกอบรมในครั้งนี้คือเรื่องของ Digital Mindset ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญมากขึ้น ที่ผ่านมาธุรกิจแบบดั้งเดิม คำนึงถึงความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมากจนทำให้เราเชื่องช้าในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ในมุมของ Digital Mindset ของสตาร์ทอัพกลับเชื่อว่า ต้องล้มให้เร็วและลุกให้เร็ว เพื่อจะเรียนรู้ ปรับตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต การนำแนวคิดเช่นนี้เข้ามาปรับใช้กับองค์กรจะช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วมากขึ้น
วันนี้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาเซียนได้ด้วยการสร้างแบรนด์อาเซียนที่แข็งแกร่ง จากแนวคิด OKR ( Objectives and Key Results) ซึ่งแนวคิดนี้จะสะท้อนให้เราเห็นว่า้ราไม่ควรมองว่ากิจกรรมที่เราทำอยู่จะได้อะไร แต่ควรมองว่าวันนี้เราต้องการอะไร( Objectives) และกิจกรรมนั้นๆเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ต้องการ แนวคิดนี้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อเราจะทำกิจกรรมใดๆของภาครัฐ เราควรหันมามองความต้องการที่แท้จริงมากขึ้น
ขณะที่เรื่องของ Design Thinking ความสามารถของเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยเสริมในส่วนข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงๆ การผนวกใช้ Big Data จะช่วยให้เราตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง ด้วยข้อเท็จจริงบนข้อมูล ทำให้เราสามารถต่อยอดไปสู่ การทำอาเซียนแบรนด์ดิ้งได้อย่างชัดเจนตรงประเด็นมากขึ้น
นอกจากนั้นการได้ไปเยี่ยมชมหัวเว่ย ซึ่งมีการพูดถึง 5G ซึ่งจะทำให้มีการส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น ทำให้เราต้องคิดว่าความเร็วนี้จะทำให้ธุรกิจแบบไหนหายไปบ้าง ความเร็วของการสื่อสารจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่วันนี้ธุรกิจของประเทศไทยพร้อมที่จะรองรับ 5G แล้วหรือยัง แต่ถ้าเราไม่พร้อม เมื่อธุรกิจจากต่างประเทศที่พร้อมแล้วเข้ามาในประเทศไทย จะเกิดอะไรขึ้น
และในการสัมมนาครั้งนี้ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของผู้ที่เข้าร่วม โดยมีให้เห็นหลายตัวอย่างธุรกิจซึ่งพร้อมที่จะปรับ จากการเรียนรู้ภายในงาน ซึ่งมีทั้งคนอายุมากที่จะมองถึงการบริหารเทคโนโลยี และอายุน้อยที่จะมองการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับธุรกิจของตนเอง
เราเริ่มมองเห็นโอกาสของการนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงจากกลุ่มผู้นำเหล่านี้ โดยในอนาคตเราอยากเห็นการเชื่อมต่อผู้นำในเชิงของธุรกิจ ซึ่งจะมีการเกี่ยวเนื่องกันทางธุรกิจ และปีหน้าเราอาจจะต้องวางแผนเพื่อให้เกิดการต่อยอดที่เกี่ยวเนื่องกันได้จริงในอนาคต
วันนี้ประเทศที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางการค้าทั้งประเทศจีนและอินเดียอยู่ไม่ไกลจากเรา และเราอยากให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่ตลาดที่ใหญ่ของ 2 ประเทศนี้ต่อไป โดยปีหน้าเราก็หวังว่าจะสามารถขยายขอบเขตของผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมไปสู่ระดับเอเชีย โดยรวมประเทศจีนและอินเดียเข้ามาได้ เพื่อเชื่อมโยงลีดเดอร์ได้มากกว่าแค่พลัสของอาเซียน หรือขยับขึ้นสู่เอเชียมากขึ้นนั่นเอง